พระเอกหัวใจเกษตร น้ำ รพีภัทร เผยชีวิตเรียบง่ายลงตัว เจ้าของบ้านไร่ รพีภัทรฟาร์ม นครนายก ใช้เงินวันละ 300 สอนลูกสัมผัสวิถีบ้านทุ่ง
บอกได้เลยว่า น้ำ รพีภัทร เป็นนักแสดงมากความสามารถคนหนึ่งที่โลดแล่นผ่านวงการบันเทิงมาหลายปี โดยปัจจุบันคุณน้ำ รพีภัทร ได้หันเหไปทำธุรกิจด้านฟาร์มไก่ชน ซึ่งเดิมทีเป็นคนที่ชอบเลี้ยงไก่ชนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยได้ทำกิจการฟาร์มชื่อ “รพีภัทรฟาร์มไก่ชน” ที่จังหวัดนครนายกพร้อมกับบ้านหลังสวย บ้านสวนกลางทุ่งของคุณ “น้ำ รพีภัทร” พร้อมชมฟาร์มไก่ชมที่มีความครบวงจร เราลองมาชมกันได้เลยค่ะ
น้ำ รพีภัทรเล่าว่า ชีวิตที่บ้านไร่ชายทุ่งของเขาเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เขาเลือกกลับมาลงหลักปักฐานที่จังหวัดบ้านเกิด สร้างฟาร์มไก่ที่เป็นความรักความชอบเมื่อเยาว์วัย และอีก 2 ปีต่อมาเขาย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างถาวร ในฐานะคุณพ่อ เขาตั้งใจเลี้ยงบุตรชายและบุตรสาวให้เป็นเด็กบ้านทุ่งที่ได้สูดอากาศดีๆ สัมผัสวิถีชีวิตที่อยู่กับดิน หญ้า และสัตว์เลี้ยงเหมือนกับเขาในวันวาน
ทุกวันนี้เขาเลี้ยงไก่ เลี้ยงควๅย เลี้ยงม้า เลี้ยงปลา และใช้ ชีวิตสบายๆ เหมือนได้พักผ่อนต่างจังหวัดทุกวันชนิดไม่ต้องรอวันหยุดแล้วหาโอกาสไปเที่ยว ขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงทำงานในวงการบันเทิง ไม่ได้ห่ างห ายไปไหน เพียงแต่ไม่โหมรับงานและบาลานซ์ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม น้ำ รพีภัทร มีชีวิตเนิบช้าที่เขาปรารถนามาตลอด โดยไม่ต้องรอให้ถึงวัยเกษียณ
“ผมเป็นคนนครนายก แต่ตอนเล็กๆ อยู่บ้านในตลาดของตัว อำเภอบ้านนา” น้ำเริ่มเล่าถึงชีวิตของเขา
“แต่ว่าปู่ย่าตากับยายและญาติพี่น้องมีอาชีพทำนากันอยู่ในละแวกนี้ ช่วงวันหยุดหรือเทศกาลผมก็มาอยู่บ้านย่าทวดที่เป็นจุดศูนย์รวมของญาติๆ ได้มาเล่นสนุก ขี่จักรยาน จับนก ตกปลา ชนไก่ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่ตรงนี้ดี” ตั้งแต่เล็กจนโต ด.ช.น้ำไม่เคยคิดฝันถึงวงการบันเทิงแม้แต่น้อย แต่ด้วยหน้าตาคมเข้มและรูปร่างสูงใหญ่
บรรดาแมวมองในสมัยนั้นจึงพยายามติดต่อเขาให้เข้าสู่วงการเสมอ จนวันหนึ่งมีโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งได้ส่งประวัติและรูปถ่ายของเขาเข้าประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2001 “สมัยยี่สิบปีที่แล้วโมเดลลิ่งยังให้นามบัตรและขอเบอร์โทรศัพท์บ้านกันอยู่เลย” เขาเล่าขำๆ และยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบนใบหน้า “โมเดลลิ่งส่งรูปและประวัติของผมไปประกวดดัชชี่บอยฯ
เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาความสามารถอะไรไปโชว์ แล้วก็เป็นคนขี้อายด้วย แต่ถามแม่กับเพื่อนๆ ก็บอกว่าให้ไปลองดูแล้วก็ผ่านเข้ารอบมาเรื่อยจนชนะการประกวด” จุดเปลี่ยนของหนุ่มสุขนิยม เกิดขึ้นจากคำถามของคนรอบข้างและความรู้สึกเคว้งคว้างในชีวิตที่ต้องหาหลักยึดให้ได้ “มีนักข่าวและคนรอบข้างถามตลอดว่า นอกจากงานแสดงแล้วผมมีกิจการอะไร
หรืออยากทำอะไรบ้างไหม คำตอบของผมคือ ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้อยากทำอะไรหรือสนใจอะไรเลย แต่พอช่วงสักอายุยี่สิบห้าปีที่ต้องเจอกับมรสุมเรื่องความรัก ในใจรู้สึกเคว้งๆ ต้องหาหลักอะไรมายึดไว้ ผมเลยย้อนนึกถึงตัวเองว่าตอนเล็ก ๆ
เราชอบอะไรที่เราอยู่กับมันได้นานทั้งวัน ไม่ฟุ้งซ่าน ก็ได้ คำตอบว่า เลี้ยงไก่” อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาพาครอบครัวหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองหลวง เพราะตั้งใจอยากให้บุตร ทั้งสองเติบโตในแบบ ‘เด็กบ้านทุ่ง’ เหมือนตัวเขาเอง